มาดูขั้นตอนการบำรุงผิวหน้าอย่างถูกวิธี ใน 7 ขั้นตอน ดังนี้
1.Toner : โทนเนอร์คือตัว "ปรับสภาพผิว" ที่สามารถ ขจัดสิ่งสกปรก ที่อาจตกค้างจาการล้างหน้า หัวใจหลักของการใช้โทนเนอร์ คือการนำสำลีชุปโทนเนอร์เช็ดใบหน้า เพระผิวสัมผัสของสำลีทำให้โทนเนอร์สามารถเข้าถึงสิ่งสกปรกบนผิวได้ล้ำลึกกว่าการล้างหน้าธรรมดานั่นเอง ทั้งนี้โทนเนอร์ไม่ได้เน้อนเรื่องการบำรุงสักเท่าไหร่ แต่ช่วยปรับสมดุลผิวมากกว่า เช่น ความชุ่มชื่น ค่า pHฯลฯ ทำให้ครีมซึมซาบลงสู่ผิวง่ายขึ้น ดังนั้นควรใช้ครีมบำรุงหลังโทนเนอร์ภายใน 1-2 นาที
*เนื้อสัมผัส : บางเบามาก
*ลำดับการใช้ : หลังล้างหน้า
*เหมาะกับ : ทุกสภาพผิว
*จุดเด่น : ปรับสมดุลผิวพร้อมขจัดสิ่งสกปรกที่อาจตกค้างอยู่
2. Essence : เอสเซนส์ (หรือน้ำตบ) เป็นตัวบำรุงผิวจากภายใน คือเน้นการบำรุงที่ล้ำลึกเข้าไปถึงชั้นผิวเพื่อฟื้นฟูให้ผิวสุขภาพดีออกมาจากภายในเลยทีเดียว มีกมีส่วนผสมเป็น Water-Base ทำให้เนื้อสัมผัสบางเบา ซึมซาบเร็ว ไม่เหนอะหนะ เหมาะอย่างมากกับผู้ที่แพ้สารตระกูลน้ำมันถึงเอสเซนส์จะไม่ได้ช่วยเรื่องความชุ่มชื่นมากนักแต่กลับได้รับความนิยมจากสาวเกาหลีและญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก อาจเป็นเพระว่าเอสเซนส์สารารถใช้ได้กับทุกสภาพผิวก็ได้
*เนื้อสัมผัส : บางเบามาก
*ลำดับการใช้่ : หลังโทนเนอร์หรือใช้แทนโทนเนอร์
*เหมาะกับ : ทุกสภาพผิว
*จุดเด่น : บำรุงผิวจากภายใน เป็น Water-Base ซึบซาบเร็จ
3. Serum : เซรั่ม มีคุณสมบัติคล้ายกับเอสเซนส์มาก เน้นการบำรุงผิวล้ำลึกจากภายในเหมือนกันต่างกันตรงที่เซรั่มมีส่วนผสมเป็น Oil-Base จึงช่วยให้ผิวช่วยให้ชุ่มชื่นมากกว่าเอสเซนส์ มีเนื้อสัมผัสหลากหลาย เช่น น้ำ น้ำมัน หรือเจลใส ส่วนมากเซรั่มมักจะออกแบบมาเพื่อการดูแลปัญหาผิวแบบเฉพาะเจาะจง เช่น แก้ไขปัญหาสิว ดูแลริ้วรอย หรือแก้ไขผิวหมองคล้ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ การดูแลเป็นพิเศษ
*สัมผัส : บางเบามาก
*ลำดับการใช้ : หลังโทนเนอร์หรือหลังเอสเซนส์
*เหมาะกับ : ทุกสภาพผิว หรือ ผิวมัน
*จุดเด่น : บำรุงผิวจากภายใน มีสารบำรุงเข้มข้นเพื่อแก้ปัญหาผิวอย่างตรงจุด
4. Ampoule : แอมเพิล สำหรับแอมเพิลเกิดมาเพื่อฆ่าเซรั่มอย่างแท้จริง เพราะมีส่วนผสมที่เข้มข้นมากว่าเซรั่มขึ้นไปอีก จึงให้ผลลัพธ์ ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ทั้งยังมีเนื้อสัมผัสบางเบาที่สุด และซึมซาบเข้าสู่ผิวได้เร็วที่สุด จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมแอมเพิลถึงมีราคาแพง ก็น้ำๆ ที่เห็นนั้นมันคือ สารบำรุงแบบเต็มๆ ใช้แป๊บเดียว รู้เรื่อง ดังนั้นเพื่อความประหยัด บางคนจึงใช้แอมเพิลแต้มเฉพาะจุดที่ต้องการบำรุงเท่านั้น
*เนื้อสัมผัส : บางเบา
*ลำดับการใช้ : หลังโทนเนอร์
*เหมาะกับ : ทุกสภาพผิว
*จุดเด่น : มอบการบำรุงเข้มข้นให้ผลลัพธ์เร็ว
5. Emulsion : อีมัลชั่น เป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ค่อนข้างบางเบา เนื้อคล้ายกับโลชั่นผสมเจล คือไม่เหลวและไม่เข้มข้นจนเกินไป มีคุณสามบัติช่วยบำรุงและเคลือบผิวชั้นนอกให้ชุ่มชื่น สำหรับผู้ที่มีผิวผสมและผิวมันอีมัลชั่นนี้แหละ คือคำตอบของคุณ เพราะอีมัลชั่นช่วยปกป้องผิวให้ชุ่มชื่นอย่างพอเหมาะ ไม่ทำให้ผิวขาดน้ำ และไม่ทำให้ผิวมันขึ้นด้วย จึงไม่แปลกที่สาวเกาหลีจะนิยมใช้อีมัลชั่นแทนเดย์ครีมบำรุงผิวก่อนลงเมคอัพ
*เนื้อสัมผัส : เข้มข้น
*ลำดับการใช้ : หลังเซรั่ม
*เหมาะกับ : ผิวผสม และผิวมัน
*จุดเด่น : บำรุงและเคลือบผิวชั้นนอกให้ชุ่มชื่นโดยไม่ทำให้ผิวมันขึ้น ใช้แทนเดย์ครีมได้เลย
6.Lotion : โลชั่น มีคุณสมบัติคล้ายอีมัลชั่น คือ ช่วยบำรุงและเคลือบผิวชั้นนอกให้ชุ่มชื่น ต่างกันตรงที่โลชั่นมีส่วนผสมที่มีน้ำมันมากกว่า จึงช่วยเติมความช่วยชุ่มชื่นให้แก่ผิวได้ดีกว่า นอกจากนี้ส่วนผสมจากน้ำมันยังช่วยเคลือบบนผิวชั้นนอก ลดการสูญเสียน้ำน้อยลง เหมาะกับผู้ที่มีผิวธรรมดาหรือผิวผสม
*เนื้อสัมผัส : เข้มข้นปานกลาง
*ลำดับการใช้ : หลังอีมัลชั่น
*เหมาะกับ : ผิวธรรมดา หรือ ผิวผสม
*จุดเด่น : ช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เหนะหนะ
7.Cream : ครีม ขึ้นชื่อว่า ครีม เนี้ยขอให้ทุกคนเดาไว้ก่อนเลยว่าเนื้อเขาต้องเข้มข้น! เพราะครีมมีส่วนผสมจากนำ้มันเยอะที่สุด อุดมไปด้วยสารบำรุงที่เข้มข้นและความชุ่มชื่นเต็มพิกัด มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวชั้นนอกชุ่มชื่นอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งหรือเอาไว้ใช้เวลาที่อากาศหนาวๆ เพราะน้ำมันในเนื้อครีมใช้เคลือบผิว ป้องกันการสูญเสียน้ำได้ดี
*เนื้อสัมผัส : เข้มข้นมาก
*ลำดับการใช้ : ขั้นการสุดท้ายของการบำรุง
*เหมาะกับ : ผิวแห้งถึงแห้งมาก
*จุดเด่น : ช่วยให้ผิวชุ่มชื่นและป้องกันผิวแห้งกร้านได้ดีเยี่ยม